อะไร...ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ
พออ่านไป...อ่านไป...ผมก็รู้สึกว่า มันโดนตัวเองอย่างจัง คิดว่า ทำไมมันช่างเหมือนความรู้สึกของผมเสียเหลือเกิน ผมโทรศัพท์ติดต่อผู้นำบุญทันที (ชื่อ พี่อ้อย เป็นคุณแม่ของ คุณองอาจ ธรรมนิทา) และนับจากวันนั้น ประตูใจที่ถูกปิดมานานเกือบ 20ปี ก็เริ่มแง้มเปิดขึ้น ทำให้ผมยอมมาวัดครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2549 ซึ่งตรงกับช่วงธุดงค์ปีใหม่พอดี
เข็ดแล้วกับการมาวัดนี้
ตั้งแต่มีคนชวนมาทำบุญเลี้ยงพระ 3 หมื่นวัด เราปฏิเสธไม่ยอมมาวัดอีกเลย เพราะวัดนี้คนเยอะเกินไป มาแล้วเหนื่อย กลับก็ดึก แถมคนที่ทำบุญมากถึงจะได้นั่งหน้า ดูเหมือนแบ่งชั้นวรรณะ !!
ใครจะชวนมาวัดก็ไม่สน
ไม่ได้สนใจวัดเลยแม้น้องสาวแท้ๆ ถึงสองคนเข้าวัดนี้อย่างเข้มข้น ซึ่งเขาก็ชวนเรามาวัดนี้อยู่นานถึง 5-6 ปีแต่เราไม่มา ใครจะชวนมาวัดก็ไม่สน...
เข็ดวัดนี้ ฝังใจนานถึง 20 ปี
รู้สึกวัดนี้เป็นพุทธพาณิชย์มากๆ ไม่อยากมา กลัวต้องทำบุญจนหมดตัว เราไปทำบุญวัดป่ากันดารๆ ปลื้มมากกว่า มีคนชวนติดจานดาวเทียม ก็รับมาเพราะเกรงใจ เราเลยดองจานไว้อย่างนั้น ไม่ยอมติดอยู่เป็นปี
6 ปีกับการพิสูจน์ความจริง
ตัวเอง..เคยเป็นนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา เลยทำให้ฝังใจกลัวต่อเหตุการณ์ครั้งนั้นมากๆพอมารู้ว่าวัดพระธรรมกายมีนิสิตนักศึกษามามากกันขนาดนี้ เลยทำให้ปักใจเชื่อว่าวัดพระธรรมกายเป็นคอมมิวนิสต์แน่ๆ
ยิ่งดูข่าว ยิ่งเชื่อว่าทำไม่ถูก
เชื่อและติดตามข่าวของวัดผ่านสื่อมาโดยตลอด ยิ่งดูข่าวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเชื่อมากว่าหลวงพ่อทำไม่ถูกเลย
ชีวิตสุดขั้ว เกลียดวัดสุดขีด
" ไม่ชอบวัดนี้เลย..!! พระที่นี่เป็นอยู่สบาย..อยู่กันบนคอนโด แถมทำบุญวัดนี้ ยังต้องแย่งกันเข้าแถวทำบุญ อีกทั้งยังต้องทำบุญที่ละเยอะๆ"
เอาอีกแล้ว...วัดมีโปรเจ็กใหม่อีกแล้ว
เอาอีกแล้ว...วัดมีโปรเจ็กใหม่อีกแล้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อะไรหรือ ?
เมื่อก่อน....ยังไม่เข้าวัดเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา
เมื่อก่อน....ยังไม่เข้าวัดเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา และเพื่อนในกลุ่มก็ไม่ชอบวัดมากๆ
วัดพระธรรมกายที่ผมรู้จัก
ผมเข้ามาในวัดพระธรรมกายเมื่อราว 4-5 ปีที่แล้ว อันเป็นช่วงเวลาที่วัดกำลังเป็นข่าวทางสื่อมวลชน การเข้ามานั้นก็ด้วยกิจทางการศึกษา คือมาถวายความรู้แด่พระคุณเจ้าในทางวิชาการ